การค้นพบวิชชาธรรมกายของหลวงปู่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่
เพราะมิได้เป็นการปฏิบัติตามหรือจดจำจากตำรา
แต่เป็นการรู้เห็นและ
เข้าถึงธรรมจริงแท้ที่มีอยู่ภายในด้วยตนเองโดยการดำเนินจิตเข้าไปในหนทางสายกลาง
อันเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์
กำเนิดผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
พระมงคลเทพมุนี (สด
จนฺทสโร) หรือหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
ถือกำเนิดในสมัยรัชกาลที่
๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านมีนามเดิมว่า สด มีแก้วน้อย
เกิดเมื่อวันศุกร์ แรม
๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๗
ณ บ้านสองพี่น้อง
ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
เป็นบุตรคนที่สองของ นายเงิน
และนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่สาว ๑ คน น้องชาย ๓ คน
ในวัยเด็ก
หลวงปู่ไปเรียนหนังสือที่วัดตามประเพณีของเด็กชายไทยในสมัยก่อน
ท่านตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง
จนกระทั่งสามารถอ่านเขียนหนังสือไทยและขอม
ได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านก็กลับมาช่วยบิดาประกอบอาชีพค้าข้าว
จนอายุได้ ๑๔ ปีเศษ
บิดาของท่านถึงแก่กรรม ท่านจึงต้องหาเลี้ยงครอบครัวแทนบิดา
ในฐานะบุตรชายคนโต
โดยนำเรือค้าข้าวขึ้นล่องระหว่างอำเภอสองพี่น้องกับกรุงเทพฯ
เดือนละ ๒-๓ ครั้งซึ่งนับว่าเป็นภาระหนักมากสำหรับเด็กวัยขนาดนั้น
แต่ด้วยความขยันขันแข็งของท่าน
กิจการค้าข้าวจึงเจริญขึ้นโดยลำดับ
ทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีฐานะดีคนหนึ่ง
เมื่อหลวงปู่มีอายุได้
๑๙ ปีเศษ ท่านก็เล็งเห็นความไม่มีสาระในการทำมาหากิน
เนื่องจากขณะที่นำเรือเปล่ากลับจากขายข้าวแล่นเข้าไปในคลองเพื่อเดินทางกลับบ้านนั้น
ท่านต้องระแวดระวังภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
เพราะว่าในคลองนี้มีโจรผู้ร้ายมาก
เมื่อผ่านพ้นอันตรายมาได้
ท่านก็เกิดธรรมสังเวชว่า
“การหาเงินเลี้ยงชีพนั้นลำบาก
บิดาของเราก็หามาอย่างนี้ ต่างไม่มีเวลาว่างกันทั้งนั้น
ถ้าใครไม่รีบหาให้มั่งมี
ก็เป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีใครนับหน้าถือตา เข้าหมู่เพื่อนบ้านก็อับอาย
ไม่เทียมหน้าเขาบุรพชนต้นสกุลก็ทำมาอย่างนี้เหมือนกัน
จนถึงบิดาเราและตัวเราในบัดนี้
ก็คงทำอยู่อย่างนี้
ก็บัดนี้บุรพชนทั้งหลายได้ตายหมดแล้ว แม้เราก็จักตายเหมือนกัน”
ท่านเกิดความสลดใจและอยากออกบวชเพื่อแสวงหาหนทางพ้นทุกข์จึงจุดธูปบูชาพระ
และอธิษฐานว่า
“ขออย่าให้เราตายเสียก่อน
ขอให้บวชเสียก่อนเถิด ถ้าบวชแล้วไม่สึกจนตลอดชีวิต”
จากนั้นท่านก็ขะมักเขม้นในการทำงานยิ่งขึ้น
ต่อมา
เมื่อหลวงปู่มีอายุได้ ๒๒ ปี ท่านก็สามารถรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง
ซึ่งคาดว่าเพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของมารดาจนตลอดชีวิตแล้ว
ท่านจึงออกบวชเป็นพระภิกษุในเดือนกรกฎาคม
พ.ศ. ๒๔๔๙ ณ วัดสองพี่น้อง
อำเภอสองพี่น้อง
จังหวัดสุพรรณบุรี สมดังที่ได้อธิษฐานไว้
โดยมีพระอาจารย์ดี
วัดประตูสาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต)
วัดสองพี่น้อง
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดสองพี่น้อง
เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า
“จนฺทสโร”
ก่อนบวชท่านไปเตรียมตัวบวชอยู่ที่วัดเป็นเวลาประมาณ
๑๐ วัน
เพื่อฝึกท่องคำขอบรรพชาอุปสมบทและศึกษาพระวินัย
รวมทั้งข้อควรปฏิบัติของสงฆ์
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสามารถปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น
หลังจากที่หลวงปู่พำนักอยู่ที่วัดสองพี่น้องเป็นเวลา
๗ เดือนเศษ ท่านก็เดินทางไปจำพรรษา
ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
กรุงเทพฯ ก่อนไปวัดพระเชตุพนฯ
ท่านได้ตั้งคัมภีร์ใบลานมหาสติปัฏฐานลานยาวไว้ที่วัดสองพี่น้องผูกหนึ่ง
และตั้งใจไว้ว่า
จะต้องแปลคัมภีร์ผูกนี้ให้ออก
ถ้ายังแปลไม่ออกก็จะยังไม่หยุดเรียนบาลี
ในช่วงที่หลวงปู่ไปพำนักอยู่
ณ วัดพระเชตุพนฯนั้น ท่านเคยออกบิณฑบาต
โดยไม่ได้อาหารต่อเนื่องกัน๒
วัน และท่านก็ไม่ได้ฉันอะไรเลย
ในวันที่สามท่านบิณฑบาตได้ข้าวมา
๑ ทัพพี กล้วยน้ำว้า ๑ ลูก ขณะที่ลงมือฉันไปได้คำเดียว
ท่านเหลือบไปเห็นสุนัขแม่ลูกอ่อนผอมโซเดินมา ท่าทางเหมือนอดอาหารมาหลายวัน
ด้วยจิตเมตตา
ท่านจึงตัดสินใจแบ่งข้าวที่เหลืออยู่อีกคำหนึ่งและกล้วยน้ำว้าครึ่งลูก
สละให้เป็นทานแก่สุนัข
แล้วอธิษฐานจิตว่า
“ขึ้นชื่อว่าความอดอยากอย่างนี้
ขออย่าได้มีอีกเลย”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ทุกครั้งที่ท่านไปบิณฑบาต ก็จะได้อาหารมากมาย
เกินกว่าที่ท่านจะฉันหมด
และมากพอที่จะแบ่งไปถวายพระภิกษุรูปอื่น ๆ ได้ด้วย
ความลำบากในเรื่องภัตตาหารของพระภิกษุสามเณรในครั้งนี้
ทำให้ท่านเกิดความคิดว่า
“หากเรามีกำลังเพียงพอเมื่อใดก็ตาม
เราจะตั้งโรงครัวประกอบอาหารเลี้ยงพระเณรโดยไม่ให้ลำบาก จะได้มีเวลาศึกษาเล่าเรียนกันอย่างเต็มที่”
ซึ่งปรากฏว่า
ในเวลาต่อมาเมื่อท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ท่านก็สามารถตั้งโรงครัวเลี้ยงพระภิกษุสามเณรได้จริง
ๆ แม้กระทั่งในปัจจุบัน
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ก็ยังมีผู้คนไปทำบุญเลี้ยงพระเณรกันเป็นจำนวนมากตลอดมา
หลวงปู่ท่านศึกษาค้นคว้าความรู้ในพระไตรปิฎกอยู่ที่วัดพระเชตุพนฯ
เป็นเวลาถึง ๑๑ พรรษา จนเชี่ยวชาญภาษาบาลี เมื่อท่านสามารถแปลคัมภีร์มหาสติปัฏฐานได้สำเร็จ
ดังที่เคยตั้งใจไว้ก่อนเดินทางไปอยู่ที่วัดพระเชตุพนฯแล้ว
ท่านจึงหยุดเรียนคันถธุระ
และหันมาตั้งใจเรียนวิปัสสนาธุระให้ยิ่ง
ๆ ขึ้นไป
อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น
แม้ท่านตั้งใจเรียนคันถธุระตลอดมา
แต่ท่านก็ไม่เคยว่างเว้นการฝึกฝนธรรมปฏิบัติเลยแม้แต่วันเดียว
วันเวลาในชีวิตสมณะ
ของท่านจึงเป็นเวลาที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งในเรื่องการเรียนวิปัสสนาธุระนั้น
หลวงปู่ท่านขวนขวายไปศึกษาธรรมปฏิบัติจากพระอาจารย์หลายท่าน
โดยเริ่มเรียนตั้งแต่บวชวันแรกเลยทีเดียว
โดยมีรายนามพระอาจารย์ดังนี้ ...
พระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ
วัดสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
หลวงปู่เนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี
พระสังวรานุวงษ์
วัดราชสิทธารามกรุงเทพฯ
พระครูญานวิรัติ (โป๊)
วัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ
พระอาจารย์สิงห์
วัดละครทำ ธนบุรี
ทุกท่านล้วนเป็นพระอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษในทางธรรมปฏิบัติเป็นเยี่ยมทางปริยัติ
งามพร้อมทั้งศีลาจารวัตร
และมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
หลวงปู่ฝึกฝนธรรมปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริง
จนครูบาอาจารย์รับรองผลแห่งการปฏิบัติ
และชักชวนให้อยู่ช่วยกันสอนผู้อื่นต่อไป
แต่หลวงปู่ท่านรู้สึกว่า ความรู้เท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ที่จะช่วยตนเองให้พ้นทุกข์ได้
ต่อมาท่านจึงศึกษาวิธีการปฏิบัติเพิ่มเติมด้วยตนเอง
จากคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ซึ่งเป็นคัมภีร์แม่บทของการปฏิบัติธรรม
ค้นพบวิชชาธรรมกาย
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐
ย่างเข้าพรรษาที่ ๑๒ หลวงปู่เดินทางไปจำพรรษาที่วัดโบสถ์ (บน)
ตำบลบางคูเวียง อำเภอบางกรวย
จังหวัดนนทบุรี เพื่อตอบแทนพระคุณเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ (บน)
ที่เคยถวายหนังสือมูลกัจจายน์และคัมภีร์พระธรรมบทให้ท่าน
เมื่อครั้งที่ท่านเรียนปริยัติ
ด้วยการไปช่วยแสดงธรรมแก่พระภิกษุสามเณร
อุบาสกและอุบาสิกา
ในวันเพ็ญเดือน ๑๐
ระหว่างกลางพรรษาที่ ๑๒เวลาเช้าตรู่ก่อนออกบิณฑบาต
หลวงปู่ท่านระลึกขึ้นมาว่า
“เราบวชมานานนับได้
๑๒ พรรษาแล้ว ยังไม่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเลย
ทั้งที่การศึกษาของเราก็ไม่เคยขาดสักวัน
เราควรจะรีบกระทำความเพียรให้รู้เห็นของจริง
ในพระพุทธศาสนา
หากไม่เริ่มปฏิบัติก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตกอยู่ในความประมาท”
หลังกลับจากบิณฑบาตและฉันภัตตาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
ท่านจึงเดินเข้าสู่อุโบสถเพื่อ
ปฏิบัติธรรม โดยตั้งปณิธานในใจว่า
หากไม่ได้ยินกลองเพลก็จะยังไม่ลุกขึ้น
จากที่ ท่านหลับตาภาวนา
“สัมมา อะระหัง” จนกระทั่งใจหยุดเป็นจุดเดียวกัน
เห็นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย
และเกิดความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ความปวดเมื่อยทั้งหลายมลายหายไปหมด
พอดีกลองเพลดังกังวานขึ้นวันนั้น
หลวงปู่ฉันภัตตาหารเพลด้วยความปีติอิ่มเอิบใจ
ดวงใสที่เห็นยังคงติดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย
ขณะที่ฉันภัตตาหาร ท่านก็มองดูที่ศูนย์กลางกายไปด้วย แม้ลืมตาก็ยังมองเห็นชัด
และความสว่างเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตการปฏิบัติธรรมของท่าน
หลังจากลงพระปาติโมกข์แล้ว
ท่านขอร้องเพื่อนพระภิกษุไม่ให้ไปรบกวน
ท่านบอกว่า “จะตายก็ตายเถิดปล่อยให้ได้นั่งตามชอบใจเถอะ
ถ้าไม่มีคุณธรรมอะไร
ไม่เห็นอะไร
ไม่เป็นอะไร อย่างนี้เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุกเปล่า ๆไม่มีประโยชน์อะไร”
จากนั้นท่านก็เข้าไปในอุโบสถเพื่อปรารภความเพียรขณะนั้น
ท่านมาหวนคิดถึงเมื่อครั้งอายุ
๑๙ ปี ที่ปฏิญาณตนบวชจนตาย บัดนี้เวลาผ่านมาถึง ๑๕ ปีแล้ว
ก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้เห็นเลย
ท่านจึงตั้งสัจจาธิษฐานทำสมาธิภาวนาอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่า
“ถ้าเรานั่งลงไปครั้งนี้
ไม่เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าต้องการ เป็นอันไม่ลุกจากที่นี้จนหมดชีวิต”
เมื่อตั้งจิตมั่นลงไปอย่างนั้นแล้ว
ท่านได้แสดงความอ้อนวอนต่อหน้าพระประธาน
ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
“ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้า
ทรงพระราชทานธรรมที่พระองค์
ได้ทรงตรัสรู้อย่างน้อยที่สุด
แลง่ายที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงรู้แล้วแก่ข้าพระพุทธเจ้า
ถ้าข้าพระพุทธเจ้ารู้ธรรมของพระองค์แล้ว
เป็นโทษแก่ศาสนาของพระองค์
ขอพระองค์อย่าทรงพระราชทานเลย
ถ้าเป็นคุณแก่ศาสนาของพระองค์ ขอพระองค์ได้
ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานแก่ข้าพระองค์
ข้าพระองค์รับเป็นทนายศาสนาในศาสนา
ของพระองค์จนตลอดชีวิต”
ขณะที่ท่านกำลังนั่งเจริญสมาธิภาวนา
ท่านเหลือบไปเห็นมดไต่ขึ้นมาตามรอยแตกของอุโบสถ ท่านเกรงว่ามดจะมากัดทำให้ต้องถอนออกจากสมาธิ
จึงเอานิ้วมือจุ่มน้ำมันก๊าดลากเป็นวงล้อมรอบตัวเพื่อกันมด แต่ยังไม่ทันวงรอบตัว
ท่านก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า แม้แต่ชีวิตยังสละได้
แต่ทำไมยังกลัวมดกัดอยู่เล่า
ท่านจึงวางขวดน้ำมันลง แล้วปฏิบัติธรรมต่อไป
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งค่อนคืน
ใจของท่านหยุดสงบนิ่งที่ศูนย์กลางกายได้ส่วนพอดี
ดวงกลมโตใสบริสุทธิ์ที่ศูนย์กลางกายที่ท่านเห็นเมื่อเพล
ยิ่งใสสว่างมากขึ้นราวกระจกเงาใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ เห็นอยู่อย่างนั้นหลายชั่วโมง
โดยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ขณะนั้น
มีเสียงหนึ่งผุดขึ้นมาจากกลางดวงนั้นว่า “มัชฌิมา ปฏิปทา”
ทางสายกลางไม่ตึงนักไม่หย่อนนักในความหมายของปริยัติ
ขณะเดียวกันที่ศูนย์กลาง
ดวงกลมใสสว่างนั้น
ก็มีจุดเล็กเรืองแสงสว่างวาบขึ้นมา ท่านคิดว่า
“นี่กระมังทางสายกลาง”
ท่านจึงมองไปที่จุดนั้นทันที
จุดนั้นค่อย ๆ ขยายโตขึ้นมาแทนที่ดวงเก่าซึ่งหายไป ท่านมองเข้ากลาง
จุดเล็กที่อยู่กลางดวงใสเรื่อยไป ก็เห็นดวงใหม่ที่สุกใสยิ่งกว่า
ลอยขึ้นมา
ท่านเข้ากลางดวงใหม่ที่ลอยขึ้นมาแทนที่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายไปเรื่อย ๆ
ในที่สุดจึงเห็นกายต่าง
ๆ เกิดขึ้นจนกระทั่งถึง “ธรรมกาย”
ซึ่งเป็นองค์พระปฏิมากรเกตุดอกบัวตูม ใสบริสุทธิ์งดงามหาที่ติมิได้ยิ่งกว่าพระพุทธรูปองค์ใดที่เคยเห็นมา
ด้วยการทำความเพียรอย่างไม่อาลัยในชีวิต
หลวงปู่ได้เข้าถึงพระธรรมกายกลางดึกคืนนั้นเอง
ณ เวลานั้นท่านตระหนักว่า
ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ลึกซึ้งนัก
(เข้ากลาง
หมายถึง การดำเนินจิตเข้ากลางดวงที่เห็นเข้าไปเรื่อย ๆ หยุดในหยุด
จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกายที่อยู่ในทางสายกลาง)
พ้นวิสัยของการที่จะตรึกนึกคิดหรือคาดคะเนเอาได้เพราะถ้ายังตรึกนึกคิดอยู่ก็เข้าไม่ถึง
จะเข้าถึงได้ต้องทำให้ความรู้ตรึก
รู้นึก รู้คิด รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน พอหยุดก็ดับ
ดับแล้วจึงเกิด
ในเวลาต่อมาท่านจึงกล่าวสรุปไว้เป็นประโยคสั้น ๆ ว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ”
การค้นพบวิชชาธรรมกายของหลวงปู่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่
เพราะมิได้เป็นการปฏิบัติตามหรือจดจำจากตำรา
แต่เป็นการรู้เห็นและเข้าถึงธรรมจริงแท้
ที่มีอยู่ภายในด้วยตนเอง
โดยการดำเนินจิตเข้าไปในหนทางสายกลาง
อันเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์
วิธีการดำเนินจิตเข้าไปในเส้นทางสายกลางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย
ได้ดำเนินไปแล้วนี้
หายไปเกือบ ๒,๐๐๐ ปี
การค้นพบของท่านจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ต่อมวลมนุษยชาติ
และเหนือสิ่งอื่นใดการค้นพบของท่านยังเป็นพยานยืนยันว่า
“ตถาคตเป็นพระธรรมกาย”
ตามที่ปรากฏอยู่ในอรรถกถา
พระไตรปิฎก วกฺกลิสุตฺตวณฺณนา หน้า ๓๔๒ ถึง ๓๔๓ ว่า...
“พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมกายที่ตรัสไว้ว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตร
ธรรมกายแลคือพระตถาคต
ความจริงโลกุตรธรรม ๙ อย่าง (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑)
ชื่อว่า พระกายของพระตถาคต”
เมื่อหลวงปู่เข้าถึงพระธรรมกายแล้ว
ท่านยังคงนั่งทบทวนสิ่งที่ค้นพบต่อไปอีก
ขณะนั้น
ท่านเห็นวัดบางปลา ปรากฏขึ้นเหมือนตัวเองไปอยู่ที่วัดนั้น
ท่านรู้ด้วยญาณทัสสนะว่า
ที่วัดบางปลาจะต้องมีผู้รู้เห็นธรรมได้อย่างแน่นอน
ท่านจึงมีความคิดที่จะไปสอนที่วัดนั้นอยู่เรื่อยมาเมื่อออกพรรษาแล้ว
ท่านจึงเดินทางไปปฏิบัติธรรมและสอนธรรมปฏิบัติที่วัดบางปลา
ตำบลบางเลน
จังหวัดนครปฐม
ตามที่ได้ตั้งใจไว้ สอนอยู่ราว ๆ ๔ เดือน มีพระภิกษุปฏิบัติตามท่านได้ ๓ รูป
และฆราวาสอีก ๔ คน ซึ่งถือเป็นพยานในการบรรลุธรรมของท่าน
การสอนครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่วิชชาธรรมกาย
ที่ท่านค้นพบให้เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกต่อมาหลวงปู่ออกเดินธุดงค์จาริก
ไปสอนธรรมปฏิบัติในสถานที่ต่าง
ๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งปรากฏว่า มีประชาชนสนใจ
มาฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านเป็นจำนวนมากและต่างได้รับผลดีตามกำลังแห่งการปฏิบัติของตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น