ศิลาจารึกเป็นหลักฐานที่มีประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณคดี
อักษรศาสตร์
และภาษาศาสตร์ สะท้อนให้เห็นลักษณะขนบธรรมเนียมประเพณี
และวัฒนธรรมของบุคคลในอดีต โดยเฉพาะเรื่องราวดังกล่าวจะมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
เข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ
ศิลาจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นี้
ที่กรมศิลปากรได้มอบหมาย ให้นายชะเอม แก้วคล้าย
นักภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ
รวบรวมจารึก ๔ หลัก ซึ่งเป็นจารึกภาษาสันสกฤต อักษรขอม มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกัน โดยเฉพาะในด้านที่ ๑ มีการกล่าวถึงคำว่า
ธรรมกาย ในโศลกที่
๑ ความว่า
๑.นโมวุทฺธายนิรฺมฺมาณ (ธรฺมฺมสามฺโภคมูรฺตฺตเย)
๒.ภาวาภาวทฺวยาตีโต (ทฺวยาตฺมาโยนิราตฺมก
)
หลักฐานจากศิลาจารึก เมืองพิมาย
คำแปล ด้านที่ ๑
โศลกที่ ๑
ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระพุทธเจ้า ผู้มีนิรมาณกาย ธรรมกาย และสัมโภคกาย
ผู้ล่วงพ้นภาวะและอภาวะทั้งสอง ผู้มีอาตมันเป็นสอง และผู้หาอาตมันมิได้
จารึก ๔ หลัก ดังกล่าว ได้แก่
๑.จารึกปราสาท พบที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
๒.จารึกด่านประคำ พบที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์
๓.จารึกพิมาย พบที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา
๔.จารึกประสาทตาเมียนโตจ พบที่ ประสาทตาเมียนโตจ จ.สุรินทร์
(รายละเอียดฉบับสมบูรณ์ของจารึก
๔ หลัก ดูได้ที่ภาคผนวกหน้า ผ๑๔๒-ผ๑๕๒)
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานศิลาจารึก
ที่พบคำว่าธรรมกายอีก คือ ศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ และหลักศิลาจารึกพระธรรมกาย
ดังราย-ละเอียดต่อไปนี้
หลักฐานจากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์
๑.สมฺภารวิสฺตรวิภาวิตธรฺมกาย
สมฺโภคนิรฺมฺมิติวปุรฺภควานฺวิภกฺต:
คำแปล
โศลกที่ ๑
พระผู้มีพระภาค
ผู้ประกอบด้วยพระธรรมกาย อัน
พระองค์ยังให้เกิดขึ้นแล้วอย่างเลิศ ด้วยการสั่งสม
(บุญบารมี)
ทั้งสัมโภคกาย (และ) นิรมาณกาย
หลักฐานจาก"หลักศิลาจารึกพระธรรมกาย"
ศิลาจารึกนี้เป็นหินชนวนสีเขียวเป็นจารึกเก่าแก่จารึก เมื่อ ปี พ.ศ.๒๐๙๒๖ นายคุ้มขุดพบได้จากพระเจดีย์วัดเสือ
ฝั่งตะวันออกของเมืองพิษณุโลก ปัจจุบันอยู่ที่แผนกหนังสือตัวเขียนและจารึกกองหอสมุดแห่งชาติกรมศิลปากร (ดูรายละเอียดศิลาจารึกฉบับสมบูรณ์ที่ภาคผนวกหน้า
ผ๑๕๓-ผ๑๕๘)
ความว่า
...สพฺพญฺญุตญาณปวรสีลํ สพฺพญฺญุตาณ ปวรสีลํ
นิพฺพานารมฺมณํปวรวิลสิ นิพฺพานารมฺมณ ปวรวิลสิ-
ตเกส จตูถชานาปวร ตเกสํ จตุตฺถชฺฌานปวร-
ลลาต วชฺชิรสมาปตฺติ ลลาฏํ วชิรสมาปตฺติ-
ปวรอุ...
ปวรอุ...
...อิมํ ธมฺมกายพุทฺธลกฺขณํ โยคาวจรกุลปุตฺเตน
ติกฺขาเณน
สพฺพญฺญุพุทฺธภาวํ ปตฺเถนฺเตน
ปุนปฺปุนํ อนุสฺสริตพฺพํฯ
คำแปล
...พระพุทธลักษณะคือ
พระธรรมกาย มีพระเศียรอันประเสริฐ คือพระสัพพัญญุตญาณ มีพระเกศางามประเสริฐ
คือพระนิพพานอันเป็นอารมณ์แห่งผลสมาบัติ มีพระนลาฏอันประเสริฐคือจตุตถฌาน
มีพระ-อุณาโลมอันประเสริฐ ประกอบด้วยพระรัศมี คือพระปัญญาในมหาวชิรสมบัติ...
...พระพุทธลักษณะคือพระธรรมกายนี้ อันโยคาวจรกุลบุตรผู้มีญาณอันกล้า
เมื่อปรารถนาซึ่งภาวะแห่งตนเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้าพึงระลึกเนืองๆ ฯ
นอกจากนี้ก็ยังมีหลักฐานในศิลาจารึกอีกหลายแห่ง
ที่หยิบยกขึ้นมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ศิลาจารึกที่ปราสาทพระขรรค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ข้อความในศิลาจารึกจะถอดออกมาเป็นอักษรโรมัน จากนั้นจึงถอดออกมาเป็นอักษรไทย
โดยนายชูศักดิ์ ทิพย์เกษร เป็นที่น่าสังเกตว่า
บรรพบุรุษของไทยเราแต่โบราณก็มีการศึกษาในเรื่อง ธรรมกายอยู่ไม่ใช่น้อย
และมีความเข้าใจในลัทธิตรีกายของมหายานอย่างมั่นคงทีเดียว ความเชื่อเช่นนี้
ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนในยุคสมัยเดิมบนแผ่นดินไทยนี้มานาน
จนกระทั่งได้มีการจารึกตัวอักษรลงในศิลาจารึก
เหลือไว้เป็นหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษา
แต่การศึกษาของพระสงฆ์ไทยในปัจจุบันมุ่งเรียนเฉพาะบาลี
โดยที่ไม่มีผู้สืบเสาะค้นคว้าเพื่อเปรียบเทียบกับคัมภีร์โบราณต่างๆ ทั่วไป
คนไทยนั้นไม่ค่อยสนใจคัมภีร์โบราณเท่าใดนัก คัมภีร์ส่วนใหญ่จึงถูกทำลายไป
บางครั้งก็ถูกนำไปเผาทิ้ง หรือไม่ก็ถูกภัยธรรมชาติทำลาย
ธรรมกาย ในจารึกลานทอง
ในปี พ.ศ.๒๕๓๑
กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในมหามงคลสมัยพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ
ขณะที่บูรณะปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณประจำรัชกาลที่
๑ และพระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขารประจำรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๑
เวลาประมาณ ๐๘.๑๕ น.
ช่างกำลังสกัดผิวกระเบื้องเคลือบชั้นนอกขององค์พระมหาเจดีย์ทั้งสองพบว่า
บริเวณใกล้หอระฆังด้านทิศเหนือ มีโพรงลึกเข้าไปในองค์พระมหาเจดีย์
ซึ่งภายในนั้นมีห้องกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โบราณวัตถุล้ำค่าต่างๆ พระพุทธรูป
และจารึกลานทองเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนในพระพุทธ-ศาสนา
จารึกลานทองนี้
จารึกด้วยอักษรขอมเป็นภาษาบาลีและภาษาไทย
หนึ่งในนั้นมีเรื่อง"พระ-ธรรมกาย อยู่ด้วย
โดยคำแปลซึ่งนายเทิม มีเต็ม เป็นผู้จำลองอักษรจารึก อ่าน ถ่ายทอดอักษร
และนายเกษียร มะปะโม เป็นผู้เรียงคำจารึกใหม่ แปลและอธิบายศัพท์
มีราย-ละเอียดดังนี้
ขอความนอบน้อม จงมีแด่พระรัตนตรัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดมีอายตนะ ๖ เพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัยจึงเกิดมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา เพราะ
เวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดมี
อุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
จึงเกิดมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส
และอุปายาสะ เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั้น เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยดังกล่าว
อีกส่วนหนึ่งเพราะอวิชชาดับสนิทไม่เหลือ ปราศจากราคะ คือ ความกำหนัด
สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับอายตนะ ๖ จึงดับ เพราะอายตนะ ๖ ดับผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ เพราะเวทนา
ดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ
เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาสะจึงดับ เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลล้วนดับตามเหตุปัจจัยดังกล่าว
เราเที่ยวแสวงหานายช่างทำบ้านเรือน(ตัณหา) เมื่อไม่พบ
จึงต้องท่องเที่ยวไปในสงสารหลายชาติไม่น้อย ชาติ (ความเกิด) บ่อยๆ นำทุกข์มาให้
นายช่างเอ๋ย (บัดนี้) เราได้พบท่านแล้ว ท่านจักสร้างบ้านเรือนต่อไปอีกไม่ได้
เพราะเราได้หักทำลายรื้อโครงและยอดบ้านเรือนของท่านกระจัดกระจายหมดสิ้นแล้ว
จิตของเราหมดกิเลสเครื่องปรุงแต่งแล้ว เราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว
พระเศียรหมายถึงพระสัพพัญญุตญาณ
พระเกศาหมายถึงอารมณ์ พระนิพพาน พระ-ลลาตหรือพระ- นลาฏหมายถึงจตุ-ตถฌาณ พระอุณา-
โลมหมายถึงสมาบัติ- ญาณเพชร พระภมู (พระขนง) ทั้งสองหมายถึงนีลกสิณ
พระจักษุทั้งสองหมายถึงทิพพจักษุปัญญา จักษุสมันตจักษุ พุทธจักษุ และธรรมจักษุ พระโสตทั้งสอง
หมายถึงทิพพโสตญาณ พระฆานะหมายถึงโคตรภูญาณ
พระปรางทั้งสองหมายถึงมรรคญาณผลญาณและวิมุตติญาณ พระทนต์หมายถึงโพธิปักขิยธรรม ๓๗
ประการ พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ หมายถึงมรรคญาณ ๔ พระศอหมายถึงสัจจญาณ ๔
การเอี้ยวพระศอทอดพระเนตรดูหมายถึงพระไตรลักษณญาณ พระพาหาทั้ง ๒ หมายถึง
เวสารัชญาณ ๔ พระองคุลีทั้ง ๘ (มีเชิงอรรถอธิบายว่าพระองคุลีทั้ง ๘ น่าจะเป็น ๑๐
แต่ในจารึกใช้ว่า"อฏฐองฺคุลี
จึงแปลว่า"พระองคุลีทั้ง ๘
หมายถึง อนุสสติญาณ ๑๐ พระอุระ หมายถึงสัมโพชฌงค์ ๗ พระถันทั้ง ๒
หมายถึง อาสยานุสยญาณ
พระอวัยวะส่วนกลางหมายถึงพลญาณ ๑๐ พระนาภี หมายถึงปฏิจจสมุปบาท
พระชฆนะหมายถึงอินทรีย์ ๕ พละ ๕ พระ-อุรุทั้ง ๒ หมายถึงสัมมัปปธาน ๔ พระชงฆ์ทั้ง ๒
หมายถึงกุศลกรรมบถ ๑๐ พระบาททั้ง ๒ หมายถึงอิทธิบาท ๔ สังฆาฏิ (ผ้าสำหรับห่มซ้อน)
หมายถึงศีลและสมาธิ จีวรสำหรับห่มปกปิดกล่าวคือ ผ้าบังสุกุล หมายถึง
หิริและโอตตัปปะ ผ้าอันตรวาสก
(ผ้าสำหรับนุ่ง) หมายถึงมรรค ๘ ประคตเอว หมายถึงสติปัฏฐาน ๔
เพราะสาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระอวัยวะทุกส่วนสูงสุด
ประกอบด้วยสัพพัญญุตญาณ ที่รู้กันว่าพระธรรมกาย ไม่มีใครจะเป็นผู้นำชาวโลกได้เท่า
ทรงรุ่งโรจน์กว่าเทวดาและมนุษย์เหล่าอื่น (ดังนั้น) พระโย-คาวจรผู้มีญาณแก่กล้า
เมื่อปรารถนาจะเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พึงระลึกถึงบ่อยๆ ซึ่งพุทธลักษณะคือ พระธรรมกายว่า พระพุทธเจ้า
(พระองค์ใด) ทรงมีพระวรกายสูง ๑๒ ศอก มีพระมงกุฏ (เครื่องประดับศีรษะ)
ที่มีแสงสว่างดุจเปลวไฟพุ่งสูงขึ้นไปตลอดกาลเป็นนิจถึง ๖ ศอก
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจึงชื่อว่าสูงได้ ๑๘ ศอก
จะเห็นได้ว่า ในจารึกลานทอง
ที่มีการกล่าวถึงเรื่องธรรมกาย
มีข้อความส่วนหนึ่งคล้ายคลึงกับในศิลาจารึกเรื่องพระธรรมกาย หลักที่ ๕๔
สมัยกรุงสุโขทัย ดังที่นำเสนอไปแล้ว อีกทั้งยังมีข้อความเหมือนในบทสวดมนต์
บทธัมมกายานุสสติกถา ซึ่งสมัยรัชกาลที่ ๒ ทรงให้แปล แล้วมีการรวบรวมจัดพิมพ์เป็นบทสวดมนต์ของหอพระสมุดวชิรญาณ
จึงมีความเป็นไปได้ว่า คำว่า
ธรรมกายมีการสั่งสอนสืบทอดจากสมัยสุโขทัยมาสู่สมัยรัตนโกสินทร์
จนมามีการขุดค้นพบจารึกลานทอง ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในสมัยรัชกาลที่ ๙
สำหรับต้นฉบับจารึกลานทองนี้ ปัจจุบันจัดตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น