ใจของคนเรานั้นถ้าหยุดได้เพียงสักกระพริบตาเดียวเท่านั้น
ได้ชื่อว่าเราได้สร้างบุญใหญ่กุศลใหญ่
เราจะไปสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ
สักร้อยหลัง
ก็สู้บุญที่เกิดจากการบำเพ็ญสมถวิปัสสนาไม่ได้
เมื่อเราแสวงหาเขตบุญในพระพุทธศาสนา
พึงบำเพ็ญสมถวิปัสสนา
ทำใจให้มั่นคงดังนี้
ให้ใจหยุด หยุดนี้เป็นตัวสำคัญนัก
เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน
หลวงปู่ท่านมีวิธีสอนการปฏิบัติธรรมที่เข้าใจได้ง่าย
โดยมีอุปกรณ์การสอนครบครัน
คือมีหนังสือแจกให้ลูกศิษย์เพื่อเป็นคู่มือในการปฏิบัติธรรม
และมีกระดานชนวนวาดเป็นรูปคนด้านข้างผ่าซีก
แสดงฐานที่ตั้งของใจทั้ง๗ ฐาน
มีไม้ยาวสำหรับชี้การเลื่อนดวงนิมิตไปตามฐานต่างๆ
และมีดวงแก้วใส ๑ ลูก
ท่านสอนให้ผู้เริ่มปฏิบัติรู้จักฐานที่ตั้งของใจ
ซึ่งมีทั้งหมด ๗ ฐานเสียก่อน ดังนี้
ฐานที่
๑ ปากช่องจมูก หญิงซ้าย ชายขวา
ฐานที่
๒ เพลาตา หญิงซ้าย ชายขวา
ฐานที่
๓ กลางกั๊กศีรษะตรงกับจอมประสาท ได้ระดับพอดีกับตา
แต่อยู่ภายในตรงศูนย์กลาง คือจากดั้งจมูกตรงเข้าไปจรดท้ายทอย
จากเหนือหูซ้ายตรงไปเหนือหูขวาตรงกลางที่เส้นทั้งสองตัดกัน
คือ ฐานที่ ๓
ฐานที่
๔ ปากช่องเพดาน เหนือลิ้นไก่ตรงที่รับประทานอาหารสำลัก
ฐานที่
๕ ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก อยู่ตรงกลางช่องคอพอดี
ฐานที่ ๖ สุดลมหายใจเข้าออก คือกลางตัวตรงกับสะดือ แต่อยู่ภายใน
ฐานที่
๗* ถอยหลังกลับขึ้นมาเหนือสะดือประมาณ ๒ นิ้วมือ ในกลางตัว
(นึกขึงเส้นด้าย
๒ เส้นให้ตึง จากสะดือทะลุหลัง จากเอวซ้ายทะลุเอวขวา
ตรงเหนือจุดตัดขึ้นไป
๒ นิ้วมือ คือ ฐานที่ ๗)
ขณะปฏิบัติธรรมให้นั่งขัดสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย
มือขวาทับมือซ้าย
นิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายจรดปลายนิ้วชี้ข้างขวา
ตั้งกายให้ตรง หลับตาเบา ๆ พอปิดสนิท
ตั้งสติไม่ให้เผลอ
แล้วกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงกลมใส เหมือนดังเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีรอยขีดข่วนคล้ายขนแมวดวงโตเท่าแก้วตาดำ (จัดเป็นอาโลกกสิณหรือกสิณแสงสว่าง)
ผู้หญิงให้กำหนดเข้าปากช่องจมูกซ้าย
ผู้ชายให้กำหนดเข้าปากช่องจมูกขวา
เรียกว่าฐานที่ ๑
ให้บริกรรมภาวนาประคองใจกับดวงกลมใสนั้นว่า “สัมมา อะระหัง” ๓ ครั้ง
(จัดเป็นพุทธานุสสติ)
แล้วจึงเลื่อนดวงนิมิตนั้นต่อไปตามฐานต่าง ๆ จนถึงฐานที่ ๗
หากรู้จักที่ตั้งของฐานทั้ง ๗ ดีแล้ว
*ฐานที่ ๗ นี้
อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ว่า เป็นตำแหน่งที่เปรียบเสมือน
จุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย
หรือ Center of Gravity และเป็นเสมือนจุดสมดุลของ
ใจ
เมื่อใจเราตั้งไว้ตรงจุดนี้แล้ว จะเป็นจุดที่ได้ดุลที่สุด และถ้าเปรียบใจเหมือน
แว่นขยาย
จุดนี้คือจุดโฟกัสของแว่นขยาย เมื่อเราเอาใจไปจรดที่จุดนี้ และวางใจ
ได้ถูกส่วนจริง ๆ
ก็จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด
ในการทำสมาธิคราวต่อ ๆ
ไป จะน้อมใจมาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เลยก็ได้
แล้วกำหนดบริกรรมภาวนาว่า
“สัมมา อะระหัง” และนึกบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้ว
หรือพระพุทธรูปใส
ทั้งบริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิตนี้ เป็นกุศโลบายเพื่อประคองใจ
ให้หยุดนิ่ง ณ
ฐานที่ตั้งนี้ เมื่อหยุดนิ่งได้ถูกส่วนแล้ว ก็จะเห็นดวงกลมใสสว่างปรากฏขึ้นมา
จากกึ่งกลางดวงนิมิตนั้น
จากนั้นให้เลิกบริกรรมภาวนาดวงที่ปรากฏขึ้นนี้
ไม่ใช่นิมิตที่กำหนดขึ้น
แต่เป็น “ดวงปฐมมรรค” อันเป็นประตูเบื้องต้น
ที่จะเปิดไปสู่หนทางแห่งมรรคผลนิพพาน
เมื่อปฏิบัติธรรมจนเห็นดวงปฐมมรรคแล้ว
ให้ตั้งใจทำความเพียร
โดยเอาใจจรดไว้ที่กลางดวงปฐมมรรคนั้นให้ยิ่ง
ๆ ขึ้นไป ถ้าไม่เอาจริงเอาจัง
ไม่เอาใจใส่ ไม่สนใจ ไม่พากเพียรปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ดวงปฐมมรรคที่เพิ่งเข้าถึงใหม่ ๆ
(หรือแม้กระทั่งธรรมะที่ละเอียดกว่าดวงปฐมมรรคก็ตาม)
ก็จะหายไป
ไม่สามารถรักษาไว้ได้ดังที่ปรากฏอยู่ในคำสอนของหลวงปู่ว่า
“…อาตาปี
เพียรให้กลั่นกล้า ๆ …เพียรไม่ย่อไม่ท้อไม่ถอยทีเดียว
เอาเป็นเอาตายทีเดียว
เรียนกันจริง ต้องใช้ความเพียรประกอบด้วยองค์สี่ทีเดียว
องค์สี่นั้นอะไรบ้าง
เนื้อ เลือด กระดูก
หนัง หนังเนื้อเลือดจะแห้งเหือดไปไม่ว่า เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน
ไม่ลดละ
ใจต้องจรดอยู่ทีเดียว …นี่เขาเรียกว่า
อาตาปี เพียรเร่งเร้าเข้าอย่างนี้...
ไม่เผลอ เผลอไม่ได้
เผลอก็จะหายเสียเท่านั้น ถ้าได้ใหม่ เป็นใหม่ ๆ เผลอไม่ได้เป็นหาย
เผลอไม่ได้เป็นหายทีเดียว...”
(จากพระธรรมเทศนาเรื่องสติปัฏฐานสูตร
๓ ตุลาคม ๒๔๙๗)
เมื่อผู้ปฏิบัติดำเนินจิตเข้ากลางดวงปฐมมรรคเรื่อยไปก็จะเข้าถึงกายในกายต่าง
ๆ
เป็นชั้น ๆ
จนกระทั่งถึงกายธรรม
กายในกาย
จากการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่
ท่านพบว่ามนุษย์เราไม่ได้มีเพียงกายมนุษย์
ที่เห็นได้ด้วยตาเนื้ออย่างเดียวแต่ยังมีกายภายในที่ละเอียดประณีตซ้อนกันอยู่เป็นชั้น
ๆ
อีก ๑๗ กาย
เมื่อรวมกายมนุษย์ด้วยก็มีถึง ๑๘ กาย ดังนี้ คือ
กายมนุษย์ - กายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์ - กายทิพย์ละเอียด
กายรูปพรหม -
กายรูปพรหมละเอียด
กายอรูปพรหม - กายอรูปพรหมละเอียด
กายธรรมโคตรภู - กายธรรมโคตรภูละเอียด
กายธรรมพระโสดา -
กายธรรมพระโสดาละเอียด
กายธรรมพระสกิทาคา - กายธรรมพระสกิทาคาละเอียด
กายธรรมพระอนาคา - กายธรรมพระอนาคาละเอียด
กายธรรมพระอรหัต – กายธรรมพระอรหัตละเอียด
โดยกายที่ละเอียดกว่าซ้อนอยู่ในกายที่หยาบกว่า
เช่น กายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์
กายรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายทิพย์
กายอรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายรูปพรหม
กายธรรมโคตรภูซ้อนอยู่ในกายอรูปพรหม
เป็นต้น
เมื่อเข้าถึงกายธรรมพระอรหัตละเอียดแล้ว
ก็จะหลุดจากกิเลส เสร็จกิจในพระพุทธศาสนา
ทั้งสมถะและวิปัสสนา
ตั้งแต่กายมนุษย์ถึงกายอรูปพรหมละเอียดจัดอยู่ในขั้นสมถะ
ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูถึงกายธรรมพระอรหัตจัดอยู่ในขั้นวิปัสสนา
ดังที่หลวงปู่ท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาไว้ว่า
“…ตั้งแต่กายมนุษย์ถึงกายอรูปพรหมละเอียด
แค่นั้นเรียกว่าชั้นสมถะ
ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูทั้งหยาบทั้งละเอียด
จนกระทั่งกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียด
เป็นชั้นวิปัสสนาทั้งนั้น
ที่เรามาเรียนสมถวิปัสสนาวันนี้ต้องเดินแนวนี้
ผิดแนวนี้ไม่ได้
และต้องเป็นอย่างนี้ ผิดอย่างนี้ไปไม่ได้ ผิดอย่างนี้ไปก็เลอะเหลว...”
(จากพระธรรมเทศนาเรื่องหลักการเจริญภาวนาสมถวิปัสสนากรรมฐาน)
เรื่องกายในกายนี้เป็นสิ่งอัศจรรย์ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
หลวงปู่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
กายมนุษย์ละเอียด
ก็คือกายเดียวกับที่เวลาเรานอนหลับแล้วฝันไป
ท่านบอกว่า..ถ้าเราปฏิบัติธรรมเข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียดก็จะฉลาดกว่าคนทั่วไปชั้นหนึ่ง
เรื่องลี้ลับอะไรก็รู้หมด
ไปตรวจดูได้หมด ไม่ว่าจะไปกลางวันหรือกลางคืน เช่น
ฝันไปเมืองเพชร
ไปเขาวัง เพียงนาทีเดียวเท่านั้น กายมนุษย์ละเอียดก็สามารถฝัน
ไปเอาเรื่องในเขาวังมาเล่าให้กายมนุษย์หยาบฟังได้แล้ว
ฝันได้ทั้งที่ตื่น ๆ ไม่ใช่หลับฝัน
ประเดี๋ยวเดียวฝันได้หลายเรื่อง
ถ้าหลับฝันต้องใช้เวลานานกว่าจะได้สักเรื่อง บางคืนก็ไม่ฝันเลย
กายมนุษย์ละเอียดนี้
ยังสามารถรู้เรื่องที่กายมนุษย์หยาบไม่รู้เรื่องอีกมากมาย
แม้ใครจะมาโกหกเรา
ถ้าเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดแล้ว ก็สามารถสืบได้ว่า
โกหกหรือเปล่า
แค่เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดยังฉลาดถึงเพียงนี้
ถ้าเข้าถึงกายต่าง ๆ
ที่ละเอียดกว่านี้ จะมีความสามารถพิเศษสักเพียงใด
ซึ่งเรื่องนี้หลวงปู่ท่านกล่าวไว้ว่า
“…ถ้าว่าทำธรรมกายเป็นละก็
มันฉลาดกว่ามนุษย์หลายสิบเท่าเชียวนะ
นี่พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด
ก็ฉลาดกว่าเท่าหนึ่งแล้ว สูงกว่าเท่าหนึ่งแล้ว
เข้าถึงกายทิพย์ก็สองเท่าแล้ว
กายทิพย์ละเอียดก็สามเท่าแล้ว กายรูปพรหมสี่เท่า
กายรูปพรหมละเอียดห้าเท่า
กายอรูปพรหมหกเท่า กายอรูปพรหมละเอียดเจ็ดเท่า
เข้าถึงกายธรรมและกายธรรมละเอียด
๘-๙ เท่าเข้าไปแล้ว มันมีความฉลาดกว่ากันอย่างนี้นะ...”
(จากพระธรรมเทศนาเรื่องมหาสติปัฏฐานสูตร
๑๐ ตุลาคม ๒๔๙๗)
ส่วนหลักสำคัญในการปฏิบัติธรรมให้ได้ผลนั้นหลวงปู่ท่านสอนไว้ว่า
...
“…เราต้องตั้งใจให้หยุด
ใจของคนเรานั้นถ้าหยุดได้เพียงสักกระพริบตาเดียวเท่านั้น
ได้ชื่อว่าเราได้สร้างบุญใหญ่กุศลใหญ่
เราจะไปสร้างโบสถ์ วิหารศาลาการเปรียญสักร้อยหลัง
ก็สู้บุญที่เกิดจากการบำเพ็ญสมถวิปัสสนาไม่ได้
เมื่อเราแสวงหาเขตบุญในพระพุทธศาสนา
พึงบำเพ็ญสมถวิปัสสนาทำใจให้มั่นคงดังนี้
ให้ใจหยุด หยุดนี้เป็นตัวสำคัญนัก
เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน
พวกที่ให้ทานรักษาศีลนั้นยังไกลกว่า
หยุดนี้ใกล้นิพพานนัก
พอหยุดได้เท่านั้น ถูกคำสั่งสอนของพระ-ศาสดาแล้ว...”
(จากพระธรรมเทศนาเรื่องหลักการเจริญภาวนาสมถวิปัสสนากรรมฐาน)
เมื่อใจเริ่มหยุด
ความสุขก็จะเกิดขึ้น และเมื่อปฏิบัติต่อไปอย่างถูกวิธี
ความสุขก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นตรงตามวาระพระบาลีว่า...
“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจากหยุดจากนิ่ง
ไม่มี”
หลวงปู่ท่านสอนให้ฝึกปฏิบัติสมาธิเบื้องต้นนี้ให้เชี่ยวชาญเสียก่อน
ให้หยุดได้เสียก่อน
ท่านบอกว่า “…ถ้าไม่หยุดจะถึงธรรมกายไม่ได้ ทำใจให้หยุดได้ก็เข้าถึงธรรมกายได้
ทุกคนต้องทำได้
ขอเพียงให้ทำจริงเป็นต้องได้ทุกคน ถ้าทำไม่จริงละเป็นไม่ได้แน่
ที่ว่าทำจริงนั้น ก็คือจริงแค่ชีวิต
ถึงเลือดเนื้อจะแห้งเหือดหมดไป จะเหลือแต่
กระดูกหนังช่างมัน
ถ้าไม่ได้เป็นไม่ลุกจากที่ ถ้าทุกคนทำจริงแค่นี้ละก็ ทำได้ทุกคน
ตัวฉันเองนั้นถึงสองคราว
คือเมื่อเริ่มปฏิบัติสมถวิปัสสนาใหม่ ๆ ได้เข้าที่ทำสมาธิตั้งใจว่า
ถ้าไม่ได้ก็ให้ตายเสียเถอะ
นิ่งทำสมาธิอยู่ พอถึงกำหนดเข้าก็ทำได้ ไม่ตายสักที...”
(จากพระธรรมเทศนาเรื่องหลักการเจริญภาวนาสมถวิปัสสนากรรมฐาน)
เมื่อลูกศิษย์เข้าถึงธรรมกายแล้ว
หลวงปู่ท่านก็จะสอนธรรมะขั้นสูงให้ต่อไป
ดังที่ท่านเคยให้โอวาทแก่พระภิกษุสามเณรในพระอุโบสถไว้ว่า
“พวกเธอพยายามให้ได้ธรรมกายเสียก่อน แล้วฉันจะสอนต่อไปให้อีก ๒๐ ปี ก็ยังไม่หมด”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น