บุคคลที่จะกล่าวถึงท่านนี้เป็นหนึ่งในสักขีพยานแห่งการ
เข้าถึงธรรมของหลวงปู่
ท่านได้บันทึกเรื่องราวลงในหนังสือนวกะอนุสรณ์
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผลการ
ปฏิบัติธรรมของท่านในวันบรรพชาอุปสมบท
ที่พระอุโบสถวัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ
ไว้อย่างน่าสนใจ
ขนฺติโก ภิกฺขุ
เป็นศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ที่มีประสบการณ์รู้เห็นหนทางพระนิพพาน
โดยมีจุดเริ่มต้นในวันอุปสมบท
ณ พระอุโบสถวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ในขณะที่ท่านกำลังคุกเข่าประนมมือรอหลวงปู่เอาอังสะออกมาสวมให้
แล้วจะได้ออกไปครองผ้านั้น
หลวงปู่กล่าวขึ้นว่า
“เธอจำได้ไหม
ผมที่โกนเมื่อก่อนจะเข้ามาขอบรรพชาน่ะ เคยหยิบจับขึ้นดูบ้างหรือเปล่า”
เมื่อท่านตอบว่าจำได้
หลวงปู่ก็ให้ท่านหลับตาน้อมเอาปอยผมนั้นมาไว้ตรงกลางกาย
แล้วให้เอาความคิดความนึก
และความจำ ไปจดไว้ที่ตรงกลางกั๊กนั้น
ตอนนั้นท่านสงสัยว่าหลวงปู่ต้องการอะไรหนอ
และคิดว่า นั่งหลับตาอยู่อย่างนี้
จะเห็นอะไรได้
แถมท่านั่งคุกเข่าก็ทำให้ท่านเมื่อยเอาการ
“เห็นแล้วหรือยัง”
หลวงปู่ถาม ท่านตอบว่า
“ยังไม่เห็นอะไรเลยครับ”
หลวงปู่สั่งต่อไปว่า “ทำใจของเราให้
หยุด ให้นิ่ง
คิดนึกเอาผมของเราให้เกิด ให้เห็น อยู่ตรงกลางกั๊ก (กลางกาย) ซี
พยายามนึก
แล้วดูให้ดีจะได้เห็น”
ขนฺติโก ภิกฺขุ เล่าว่า
“นั่งมานานเท่าใดไม่รู้ตัวปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเรื่อย
ๆ ไป ทำจิตมิให้วอกแวก...
โอ!
ท่านที่เคารพทั้งหลาย เป็นที่น่าประหลาดน่าประหลาดจริง ๆ
ข้าพเจ้าได้เริ่มเห็นสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นในความมืดนั้นแล้วอย่างเลือนรางเต็มที
แต่แล้วสิ่งนั้นก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ๆ
โดยลำดับ
ชัดขึ้นจนสังเกตเห็นได้เหมือนกับการลืมตาเห็นเลยทีเดียว อะไรหรือ เห็นอะไร
ปอยผมน่ะซีท่าน
ปอยผมของข้าพเจ้าเอง ปอยผมที่ข้าพเจ้าได้หยิบดู
เมื่อทำการโกนศีรษะก่อนเข้ามาบรรพชานั่นเองช่างเป็นการน่าประหลาดอะไรเช่นนั้น
ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้น
อย่างบอกความรู้สึกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร”
ด้วยความตื่นเต้นนี่เอง
ทำให้ขนฺติโก ภิกฺขุ รีบกราบเรียนหลวงปู่ว่า
“เห็นแล้ว เห็นแล้วครับผม”
นอกจากนี้ท่านยังคิดว่า
คราวนี้หลวงปู่คงจะให้ท่านออกไปครองผ้าได้แล้ว
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังที่คิด
เพราะหลวงปู่สั่งให้ท่านดูว่าปลายผมชี้ไปทางไหน
แล้วให้ดูปอยผมต่อไป
ต่อมาท่านรู้สึกว่า ตัวเริ่มเบาหวิว ๆ ใจรู้สึกสบายจริง ๆ
สบายจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาพรรณนาได้
ทันใดนั้นปอยผมสีดำ
ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
ค่อย ๆ เห็นวงกลมมีแสงเรือง ๆ ขึ้นมาแทนที่
ต่อมาวงกลมวงนี้กลายเป็นดวงใสคล้ายดวงแก้วสุกสว่างดังดวงจันทร์
ความเมื่อยขบต่าง ๆ
ที่มีอยู่ไม่ทราบว่าหายไปได้อย่างไร
หลวงปู่ถามว่า “ได้เห็นอะไรอีกไหม”
ท่านตอบว่า
“เห็นแสงสว่างเป็นดวงกลมขนาดเท่าลูกมะนาวเขื่อง
ๆครับผม”
หลวงปู่บอกว่า “เอาละ วันนี้พอกันที เธอจงจดจำดวงที่เธอเห็นนี้ไว้ให้ดี
หลับตาก็ให้เห็น
ลืมตาก็ให้เห็น ไม่ว่าเวลาใด
ๆ ให้เห็นอยู่เสมอ ๆ อย่าให้สูญไปเสีย”
ท่านสั่งขณะนั้นประกายตาของท่านแจ่มใสด้วยความพอใจ
และกล่าวว่า
“ดวงใสนั่นแหละเป็นจุดต้นทางนำเราไปสู่พระนิพพานละ
เป็นทางไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นทางถูกทางตรงทางเดียวเท่านั้น
ไม่มีทางอื่น จดจำไว้ให้ดี อย่าให้ดับเสียได้นา”
จากนั้นหลวงปู่จึงชักเอาอังสะมาสวมศีรษะให้ท่าน
แล้วให้ออกไปห่มผ้าหลังพระอุโบสถ
เมื่อท่านเหลือบตาดูนาฬิกา
จึงทราบว่าท่านมานั่งอยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์นานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ท่านรู้สึกตื้นตันใจเมื่อคิดว่าหลวงปู่ให้เกียรติชี้แนวทางพระนิพพานแก่ท่านถึงขนาดนี้เชียวหรือ
หลวงปู่ผู้มีวัยชราแล้ว รวมทั้งหมู่สงฆ์ตลอดจนญาติมิตร
ต้องมานั่งรอท่านจนเหน็ดเหนื่อย
เมื่อยล้าไปตาม ๆ กัน
แต่หลวงปู่มิได้พะวงเรื่องอื่นใดต้องการเพียงให้ท่านได้เห็น
หนทางไปสู่พระนิพพานเท่านั้นระยะเวลาเพียงสั้น
ๆ ในการบวชของขนฺติโก ภิกฺขุ
สะท้อนให้เห็นคุณธรรมและความสามารถหลายประการของหลวงปู่
เป็นต้นว่า
ท่านมีความรักในการเผยแผ่วิชชาธรรมกายมาก มีความอดทน มีความเมตตากรุณา
ต่อศิษย์มีวิญญาณของความเป็นครูที่แท้จริง
มีความสามารถและศิลปะในการสอน
รวมทั้งสามารถหยั่งรู้กำลังบุญบารมีของศิษย์ว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนที่จะบรรลุธรรม
ขนฺติโก ภิกฺขุ
มีความสุขและปีติภาคภูมิใจเป็นอย่าง
ยิ่งที่มีหลวงปู่เป็นพระอุปัชฌาย์
ทำให้ท่านรู้วิธีทำใจหยุดใจนิ่ง ได้รู้จักหนทางพระนิพพาน
และได้เป็นหนึ่งในสักขีพยานในการเข้าถึงธรรมของหลวงปู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น